Translate

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis)





ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis / Vulvovaginitis) รวมถึงอาการระคายเคืองต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ปากช่องคลอดซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายปัจจัย




สาเหตุ
  1. การแพ้ เกิดจากสิ่งกระตุ้นที่สัมผัสกับบริเวณอวัยวะเพศ ได้แก่
    • สารเคมี เช่น น้ำยาสวนล้างช่องคลอด น้ำหอม ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม หรือสบู่
    • กระดาษชำระที่มีกลิ่นหอม
    • ขอบกางเกงใน
    • การใช้ผ้าอนามัยสอดเป็นเวลานานๆ
    • ยาต่างๆ
    • อุปกรณ์คุมกำเนิด เช่น ถุงยางอนามัย ห่วงอนามัย spermicides
  2. การระคายเคืองจากน้ำยาสวนล้างช่องคลอด น้ำหอม และสบู่
  3. การขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนหรือระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลง เรียกว่า atrophic vaginitis ภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลง จะทำให้เนื้อเยื่อบริเวณปากช่องคลอดแห้งและบาง อาจทำให้เกิด spotting ซึ่งการทาครีมเอสโตรเจน และการรับประทานฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถช่วยลดอาการระคายเคืองและทำให้มีสารเมือกมาหล่อลื่นบริเวณปากช่องคลอด ซึ่งผู้ที่มีภาวะฮอร์โมนเอสโตรเจนลดต่ำลง ได้แก่
    • ผู้ที่อยู่ในระยะให้นมบุตร
    • ผู้ที่ตัดรงไข่ออกทั้งสองข้าง หรือรังไข่ถูกทำลาย
    • การฉายรังสีหรือเคมีบำบัด
  4. การมีเพศสัมพันธ์
  5. การติดเชื้อ ได้แก่
    1. Trichomonas vaginitis หรือโรคพยาธิช่องคลอด เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งเกิดจากเชื้อโปรโตซัวที่เรียกว่า Trichomonas vaginalis พบได้ทั้งหญิงและชายติดจากการร่วมเพศหรือการใช้เสื้อผ้าร่วมกัน
      • อาการที่แสดงคือ ในผู้หญิงเชื้อจะเข้าไปใน epithelium และสามารถผลิตสารออกมา ทำให้เซลล์เยื่อบุช่องคลอด หรือท่อปัสสาวะลอกและหลุดออก มักจะพบว่ามีตกขาวปริมาณมาก มีฟอง สีเหลืองเขียว ไม่คัน มีกลิ่นเหม็นคาวปลา ส่วนในผู้ชายจะไม่ค่อยมีอาการแต่ก็ต้องรักษาด้วย
    2. Bacterial vaginosis เกิดจากการลดลงของแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิลไล(Latobacilli) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคใช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียก่อโรคมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนเกิดการอักเสบของช่องคลอด สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับสตรีที่เคยและไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ยังไม่ทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคแน่ชัดแต่มีปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรค คือ การสวนล้างช่องคลอด การคุมกำเนิดโดยการใส่ห่วงอนามัย รวมถึงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา หรืออาหารบางอย่างที่คาวจัด ของหมักดอง
      • อาการที่แสดงคือ จะมีตกขาวสีขาวเนียนปนสีเทาอ่อน มีกลิ่นเหม็นอัีบคล้ายกับกลิ่นคาวปลาเค็ม กลิ่นมักจะรุนแรงหลังการร่วมเพศหรือหลังหมดประจำเดือนใหม่ๆ ระดับความรุนแรงของกลิ่นแตกต่างกันไป บางคนไม่มีกลิ่น บางคนมีกลิ่นแรงจนคนข้างเคืองได้กลิ่น อาจมีอาการระคายเคืองบริเวณปากช่องคลอด และเจ็บช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์ ในหญิงตั้งครรภ์การติดเชื้อชนิดนี้อาจทให้คลอดก่อนกำหนดได้
    3. Candida vulvovaginitis เชื้อราในช่องคลอด ช่องทางอวัยวะสืบพันธุ์เพศหญิงเป็นบริเวณที่เหมาะสำหรับการดำรงชีพของเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียบางชนิด การพบเชื้อดังกล่าวไม่ได้หมายความว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นโรค พบว่ามีผู้หญิงถึงร้อยละ 41 ที่มีเชื้อราชนิดนี้ในช่องคลอดแต่ไม่มีอาการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุ อาชีพ ที่อยู่อาศัย เชื้อราสัมพันธ์กับการเกิดช่องคลอดอักเสบส่วนใหญ่ คือเชื้อ Candida albicans เพราะเป็นเชื้อที่สามารถยึดติดกับเซลล์เยื่อบุช่องคลอดได้ดี นอกจากนี้ยังสามารถอยู่ในระบบทางเดินอาหารได้โดยไม่ก่ออาการอีกด้วย พบได้น้อยในเด็กหญิงวัยก่อนมีประจำเดือนและสตรีวัยหมดประจำเดือน พบได้มากในสตรีตั้งครรภ์ และผู้ที่อยู่ในบริเวณที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น ผู้ที่ได้รับยาปฏิชีวนะต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอกจากนี้ยังพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวานที่คุมน้ำตาลได้ไม่ดี ผู้ที่ต้องรับยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องนานๆ หรือผู้ที่ติดเชื้อไวรัสภูมิต้านทานบกพร่อง ทำให้กำจัดหรือลดปริมาณเชื้อราได้ช้าลง
      • อาการแสดงที่เด่นชัดที่สุด คือ รอบๆ ช่องคลอดจะมีอาการอักเสบ แดง คัน(ค่อนข้างมาก) อาการมักจะดีขึ้นเมื่อมีประจำเดือน เชื่อว่าเกิดจากความเป็นด่างของเลือดประจำเดือน ตกขาวมีปริมาณน้อย สีขาว ไม่มีกลิ่น ส่วนมากจะมีอาการคันนำมาก่อน
คำแนะนำการปฏิบัติตนและการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
  1. ไม่สวนล้างช่องคลอด หรือใช้น้ำยาล้างโดยไม่จำเป็น และไม่ควรใส่ผ้าอนามัยตลอดเวลา
  2. รับประทานยาหรือสอดยาตามแผนการรักษา
  3. ดูแลความสะอาดร่างกาย เสื้อผ้า ชุดชั้นใน ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าหรือชุดชั้นในที่เกิดความอับชื้นได้ง่าย ไม่ใส่ซ้ำหมักหมม และไม่ใช้ชุดชั้นในร่วมกับผู้อื่น
  4. งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย ถ้าจำเป็นควรใช้ถุงยางอนามัย
  5. ดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังการขับถ่ายทุกครั้ง โดยการล้างจากด้านหน้าไปด้านหลังแล้วซับให้แห้งด้วยทิชชูหรือผ้าสะอาด
  6. ถ้ามีอาการผิดปกติเช่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นหนอง คันบริเวณช่องคลอด ควรมาพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง
  7. ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ในขณะรับการรักษา เพราะอาจมีผลกับยาที่ใช้รักษาทำให้ไม่สบายได้
ท่านสามารถสอบถามปัญหาเกี่ยวกับยาได้ที่
FACEBOOK: พึ่งพรเภสัช ร้านยาของครอบครัวคุณ
เรามีทีมงานเภสัชกรมืออาชีพ ให้คำปรึกษาแก่ท่านด้วยความยินดีและเต็มใจ จะ inbox หรือ timeline ได้เสมอค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น