Translate

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

ภูมิแพ้ (Allergy / hypersensitivity)




ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ แต่ปัจจัยเหล่านี้อาจก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ ได้แก่
  1. ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มักมีประวัติบิดาหรือมารดาป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ โดยที่ผู้ป่วยอาจจะเป็นโรคภูมิแพ้คนละชนิดกับบิดามารดาก็ได้ เมื่อบิดาหรือมารดาคนใดคนหนึ่งเป็นโรคภูมิแพ้มีโอกาศให้กำเนิดบุตรที่เป็นโรคภูมิแพ้ได้ร้อยละ 20-40 แต่ถ้าบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ีโอกาศที่บุตรจะเป็นโรคภูมิแพ้ได้สูงถึงร้อยละ 50-80 เลยทีเดียว
  2. ปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อม มลพิษในอากาศที่มาจากท่อไอเสียรถยนต์ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม ควันบุหรี่ ฝุนละอองจากการทำกสิกรรมรวมถึงโรงสีข้าว



โรคภูมิแพ้ เกิดจากปฏิกิริยาของร่างกายที่มีต่อสารที่ได้รับ เช่น เชื้อรา ขนสัตว์ วัชพืช ฝุ่นละออง เป็นต้น โดยอาการที่แสดงออกมามีหลายอย่าง แต่มีกระบวนการเกิดโรคแบบเดียวกัน ได้แก่
  1. จมูกอักเสบจาการแพ้ (โรคแพ้อากาศ) จะมีอาการคันจมูก จาม น้ำมูกไหล คัดจมูก อาการดังกล่าวอาจเกิดได้ตลอดทั้งปีหรือในบางช่วงเวลาเท่านั้นก็ได้ ผู้ที่เป็นโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้(โรคแพ้อากาศ) มีปัญหาเรื่องการปรับตัวของเยื่อบุจมูก คือ จมูกจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอากาศแต่ปรับตัวไม่ค่อยได้ ทั้งอากาศร้อน อากาศเย็น ความชื้นของอากาศ และกลิ่นฉุนต่างๆ พบได้ในทุกเพศทุกวัย ประมาณร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะมีอาการก่อนอายุ 30 ปี
  2. เยื่อบุตาอักเสบจากการแพ้ มีอาการคันบริเวณรอบๆ ดวงตา หนังตาด้านในแดง ตาบวม น้ำตาไหล
  3. ผื่นแพ้พันธุกรรม (มักพบในเด็กเล็ก) อาการที่แสดง คือ ผิวหนังบริเวณข้อพับต่างๆ ข้อศอก และหัวเข่า แดง แห้งและคัน
  4. ผื่นลมพิษ ผิวหนังมีอาการคัน บวม มีผื่นนูนหนา
  5. อาการแพ้เฉียบพลัน มีอาการหน้าแดง คัดแน่นจมูก เกิดการบวมของเยื่อบุจมูกและเนื้อเยื่ออ่อนใต้ผิวหนัง มีผื่นลมพิษ คลื่นไส้อาเจียน หายใจเสียงดังวี๊ดๆ ถ้าเป็นมากความดันตกอาจทำให้เสียชีวิตได้

ข้อแตกต่างระหว่างโรคแพ้อากาศกับไข้หวัด

โรคแพ้อากาศต่างจากไข้หวัด คือ ไข้หวัดจะมีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล เริ่มแรกน้ำมูกใส ต่อมาจะขุ่นข้น เป็นอยู่นาน 3-10 วัน อาจมีไข้หรือไม่มีก็ได้มีจามบ้าง แต่ไม่มีคันจมูก ส่วนโรคแพ้อากาศจะมีอาการคันจมูก น้ำมูกใสๆ คันตาน้ำตาไหล ไม่มีไข้ ส่วนใหญ่เป็นนานกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป


สิ่งที่ควารทราบเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
  • โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ มักจะมีอาการเป็นๆ หายๆ
  • สิ่งที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการมีหลายประเภท ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ อารมณ์เศร้า วิตก กังวล เสียใจ ฝุ่นควัน อากาศที่เปลี่ยนแปลง
  • ออกกำลังกายแบบแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องกันอย่างน้อยวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน เช่น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักยาน เตะฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือเต้นแอโรบิก จะช่วยให้ความไวต่อสิ่งเร้าของเยื่อบุตา จมูก และหลอดลมช้าลง ทำให้ความจำเป็นในการใช้ยาน้อยลง และทำให้มีภูมิต้านทานต่อหวัดมากขึ้น เป็นแล้วหายเร็วขึ้นและเป็นยากขึ้นด้วย

การรักษา
  1. การกำจัดหรือหลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้(สำคัญที่สุด) เพื่อให้อาการเกิดน้อยลง และใช้ยาน้อยลงด้วย คือ
    • สิ่งของเครื่องใช้ควรมีเฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น เพื่อให้ดูแลทำความสะอาดได้ง่าย
    • พรมและผ้าม่านไม่ควรใช้เพราะเป็นแหล่งสะสมฝุ่น
    • เครื่องนอนทั้งหมด เช่น ที่นอน หมอน และหมอนข้าง ควรยัดด้วยใยสังเคราะห์ ยาง หรือฟองน้ำ ไม่ควรใช้นุ่นเพราะนุ่นเป็นที่อยู่ของไรฝุ่น หากจำเป็นต้องใช้ที่นอนที่ยัดด้วยนุ่น ก็ควรหุ้มด้วยพลาสติก หรือผ้าร่มก่อน
    • ควรนำที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม ออกตากแดดจัดๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อฆ่าตัวไร
    • ซักผ้าปูที่นอน เครื่องนอน ผ้าม่าน สม่ำเสมอ ด้่วยน้ำร้อน (60 ํc) สัปดาห์ละครั้งฆ่าไรฝุ่นได้
    • ผ้าห่มควรใช้ที่ทำจากใยสังเคราะห์ไม่ควรใช้ที่ทำจากผ้าขนสัตว์ ผ้าสักหลาด หรือผ้าสำลี
    • พื้นห้องควรเป็นพื้นขัดมันเพราะกำจัดฝุ่นได้ง่าย
    • เครื่องปรับอากาศช่วยให้ฝุ่นละออง ควันไฟ และเชื้อราจากภายนอกเข้ามาภายในห้องได้น้อยลง โดยเฉพาะรุ่นที่มีระบบกรองอากาศ
    • ไม่ควรเปิดพัดลมเป่าใส่ตัว หรือที่พื้นใกล้บริเวณที่อยู่ เพราะจะเป็นการเป่าฝุ่นเข้าจมูกทำให้อาการภูมิแพ้เป็นมากขึ้นได้
    • พยายามจัดห้องให้โล่ง สะอาด ไม่มีฝุ่น
    • ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ไว้ในบ้าน เช่น สุนัข แมว ควรให้อยู่บริเวณนอกบ้านเท่านั้น และอาบน้ำให้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง สามารถช่วยลดสารก่อภูมิแพ้ได้
    • ล้างมือทุกครั้งที่สัมผัสสัตว์เลี้ยง และพยายามให้พวกเขาอยู่ห่างๆ จากใบหน้า
    • ไม่ควรปลูกต้นไม้ในบ้าน เพราะทำให้อับชื้นเป็นแหล่งเพาะเชื้อราได้
    • ควรจัดบ้านให้อากาศถ่ายเทได้ดีและแสงแดดส่องถึง
    • ควรหาทางกำจัดแมลงภายในบ้าน โดยเฉพาะแมลงสาบ เพราะซากและอุจจาระของแมลงสาบเป็นสารก่อภูมิแพ้ที่สำคัญชนิดหนึ่ง
  2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอ จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น
  3. รักษาด้วยยากินและยาพ่นจมูก
  4. การฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันรักษาโรคภูมิแพ้
ระยะเวลาในการรักษาไม่สามารถกำหนดได้ ขึ้นอยู่กับว่าสามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ได้มากน้อยแค่ไหน รวมถึงความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกายก็มีส่วนด้วย


Link: Guidelines for the Diagnosis and Management of Food Allergy

Link: Management of allergic rhinitis and its impack on asthma 

Link: Allergic Rhinitis and its Impact on Asthma (ARIA) 2010 revision.

ท่านสามารถสอบถามปัญหาเกี่ยวกับยาได้ที่
FACEBOOK: พึ่งพรเภสัช ร้านยาของครอบครัวคุณ
เรามีทีมงานเภสัชกรมืออาชีพ ให้คำปรึกษาแก่ท่านด้วยความยินดีและเต็มใจ จะ inbox หรือ timeline ได้เสมอค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น